วันสิ้นโลก จริงหรือ

เผยตีความปฏิทินมายาผิด โลกไม่แตก
แต่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
 
วันโลกแตก 2012
 
     นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญเผย ชาวตะวันตกถอดความปฏิทินชนเผ่ามายาผิด ชี้ที่จริงโลกไม่แตก แต่อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้น...
 
     สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ข้อความจารึกที่วัดของชนเผ่ามายา ในทอร์ทูกัวโร ซึ่งเคยถูกตีความไว้ว่า 2012 จะเป็นปีที่โลกถึงวันดับสูญ จากมหาภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ หลุมดำดูดกลืน ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์พุ่งชน หรือะไรก็ตาม
 
     แต่ล่าสุด สเวน โกรเนเมเยอร์ นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมนี จากมหาวิทยาลัยลาโทรบ ในออสเตรเลีย เผยว่า 'มีความเป็นไปได้สูงว่า การถอดความนั้นมีความคลาดเคลื่อน อาจจะไม่ใช่คำทำนายวันโลกาวินาศ แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่' ส่วนการถอดความวันสิ้นโลก เป็นการแปลความหมายแบบผิดๆ ของชาวตะวันตก ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นกลัวกันไปเอง
 
     ทั้งนี้ เมื่อปลาย พ.ย.ที่ผ่านา มีรายงานว่า ปฏิทินของชนเผ่ามายา ไม่ได้มีเพียงแค่ชิ้นเดียว แต่ชิ้นที่ 2 ทางการเม็กซิโก ได้เก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีมานานหลายปีแล้ว.
 
 
ฮือฮา! ค้นพบปฏิทินวันสิ้นโลกปี 2012 อันที่2 ของเผ่ามายา
 
 
      สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ได้มีการค้นพบปฏิทินที่อ้างถึงวันสิ้นโลกปี 2012 ของชนเผ่ามายา อันที่ 2 ถูกจารึกไว้ในปราสาทโคมัลคัลโค ซึ่งผู้เชียวชาญยืนยันว่ามีการค้นพบจริง แต่ทางการเม็กซิโกได้ทำการเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดีมานานหลายปีแล้ว
 
      อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ มีการค้นพบหลักฐานทำนายวันสิ้นโลกของชนเผ่ามายาอันแรก ไม่ไกลกันจากพื้นที่ทอร์ทูกัวโร(พื้นที่ของชนเผ่ามายา) ในรัฐตาบัสโก ที่ระบุวันที่เดียวกันบนศิลาจารึกแท่งหนึ่ง โดยข้อความที่พบในทอร์ทูกัวโรระบุว่า โลกจะถึงจุดจบหรือจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหญ่ ในเดือนธันวาคม 2012 อันเกี่ยวข้องกับเทพโบลอนยกเต เทพแห่งสงคราม และการสร้างสรรค์
 
     แต่ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า การแปลภาษาบนแท่นศิลาจารึกมีความคลาดเคลื่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่จากสถาบันประวัติศาสตร์ และโบราณคดีของเม็กซิโก พูดมานานแล้วว่าความตื่นกลัวนี้คือการแปลความหมายแบบผิดๆ คิดไปเองของชาวตะวันตกต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น ณ จุดจบของวงจรปฏิทินของชาวมายา
 
      อย่างไรก็ตามคำแถลงนี้ก็ไม่อาจกลบกระแสความกังวลที่พุ่งสูงได้ เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านชนเผ่ามายาราว 60 คนจะเดินทางไปยังสถานที่ที่พบศิลาจารึก เพื่อหาของสงสัยเกี่ยวกับจุดจบของยุคหนึ่ง และจุดเริ่มต้นของอีกยุค
 
2012 นาซ่า ออกมาเผยความจริงเรื่องวันสิ้นโลก

2012, เดวิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักวิทยาศาสตร์นาซ่า (NASA)

2012 เดวิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักวิทยาศาสตร์นาซ่า (NASA)
 
        เดวิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักวิทยาศาสตร์นาซ่า (NASA) เปิดเผยถึงข่าวที่กำลังแพร่สะพัดไปทั่วอินเทอร์เน็ตที่ว่า โลกจะถึงคราวสิ้นสุดลงในปี 2012 ด้วยเหตุผลทางดาราศาสตร์เป็นแค่'ข่าวลือ'เท่านั้น โดยด็อกเตอร์มอร์ริสันระบุว่า อาการ'วิตกจักรวาล' (cosmophobia) ถูกยัดเยียดโดยเว็บไซต์วิทยาศาสตร์'ปลอม' และผู้ที่พยายามจะหาเงินจากความไม่รู้ของสาธารณชน...
 

วันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเป็นวันโลกาวินาศจริงหรือไม่

วันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเป็นวันโลกาวินาศจริงหรือไม่

          ความเชื่อที่แพร่กระจายอยู่บนเน็ตที่ว่า วันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเป็นวันโลกาวินาศ (doomsday) เนื่องจากเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในจักรวาลจะทำลายโลก กลายเป็นเรื่องหลอกลวง โดยคำยืนยันดังกล่าวมาจากด็อกเตอร์เดวิด มอร์ริสัน นักวิทยาศาสตร์นาซ่า ซึ่งข้อสรุปของคำอ้างต่างๆ และการโต้ตอบของนักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อเรื่องดังกล่าว กำลังได้รับการเผยแพร่โดยสมาคมดาราศาสตร์แห่งภาคพื้นแปซิฟิก 

2012, การพุ่งชนของดาวเคราะห์ชื่อว่า Nibiru

2012 การพุ่งชนของดาวเคราะห์ชื่อว่า Nibiru
 
        หลายเดือนที่ผ่านมา ทางนาซ่า และนักบินอวกาศหลายคนได้รับจดหมาย และอีเมล์แสดงความวิกตกังวลจากข่าวสารที่มีการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตถึงความเป็นไปได้ที่โลกจะคราววินาศ และความสูญเสียของชีวิตมนุษย์อย่างมากมายในปี 2012 เหตผลและเงื่อนไขที่จะทำให้โลกแตกได้รับการนำเสนออย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งชนของดาวเคราะห์ชื่อว่า Nibiru จุดดับบนดวงอาทิตย์ที่เกิดขึ้นอย่งต่อเนื่อง ตำแหน่งใหม่ของการจัดวางศูนย์กลางกาแล็กซี่ และอื่นๆ อีกสารพัดเดวิด มอร์ริสัน บัญญัติอาการหวาดวิตกต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่า 'cosmophobia' ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วโลกในวงกว้าง
 

2012, ภาพยนต์

2012 ภาพยนต์ '2012'
 
        ด็อกเตอร์ มอร์ริสัน ผู้เชี่ยวชาญระบบสุริยจักรวาล (solar system) ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก (และการชนของดาวเคราะห์) และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารของนาซ่า บริการ 'Ask an Astobiologist' โดยเขาจะตอบคำถามต่างๆ ให้กับสาธารณชน ซึ่งเขาได้รับคำถามมากมายเกี่ยวกับปี 2012 โลกาวินาศจนรู้สึกว่า เขาต้องสืบหาต้นตอ และความจริงในเรื่องนี้ ประเด็นที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดในการค้นหาก็คือ ผู้แพร่กระจายหลายรายเริ่มต้นจากภาพยนต์ '2012' ที่มีกำหนดฉายในเดือนพฤศจิกายน โดยการสร้างเว็บไซต์วิทยาศาสตร์'ปลอม' และกระตุ้นให้ผู้คนค้นหาคีย์เวิร์ด '2012' บนเว็บ ซึ่งเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะที่ค้นพบได้จะเต็มไปด้วยข้อมูลไร้สาระ และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะผู้ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับความหายนะที่พยายามจะขายหนังสือของพวกเขา
 


        บทความของมอร์ริสันจะอยู่ในรูปของคำถามและคำตอบ ตามด้วยแนะนำแหล่งข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ผู้อ่านสามารถค้นหาเกียวกับเหตุผลที่ว่า ทำไมถึงไม่มีการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดความหายนะในปี 2012 มันมีเหตุผลมากมายที่น่ากังวลเกียวกับอนาคตของโลก แต่ที่แน่ๆ ไม่มีเหตุผล หรือกำหนดช่วงเวลาที่โลกจะแตกในปีนั้น ตัวอย่างแหล่งข้อมูลที่แนะนำ เพื่อแสดงให้เห็นว่า สิ่งแปลกๆ หรือเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้
 
 
หลังจากไฟล้างโลก
ยุคพระศรีอริยเมตไตรย์ คือ ยุคต่อไป
 
 
พระศรีอริยเมตไตรย์ 
กล่าวคือ...
 
พระศรีอริยเมตไตรย์
 
พระศรีอริยเมตไตรย์ 
 
        เราเกิดมาช้าเกินไป จึงได้ยินแค่เรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ 2500 กว่าปีที่ผ่านมาเราไม่ได้เห็นลักษณะมหาบุรุษอีกทั้งพุทธลีลาไม่ได้ฟังพระธรรมเทศนาโปรดเราให้ได้บรรลุธรรมแต่อีกไม่นานเท่าใด
        
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หน้าผู้ทรงมีพระฉัพพรรณรังสี
 
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หน้าผู้ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีแผ่ครอบไปหมื่นโลกธาตุตลอดเวลาทรงพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรย์พระองค์ท่านจะบังเกิดขึ้นมาใหม่เมื่อมนุษย์อายุได้ 8 หมื่นปีทรงสร้างบารมีมายาวนานกว่า 80 อสงไขยจะมีผู้บรรลุธรรมมากมายพระศาสนาจะยืนยาวได้เกือบ 2 แสนปี
 
 
        โลกจะเป็นดั่งคล้ายสรวงสวรรค์เป็นโลกแก้วแห่งความอัศจรรย์ที่มีแต่ความศิวิไลซ์
 
 พระเจ้าสังขบรมจักรพรรดิ
 พระเจ้าสังขบรมจักรพรรดิ
 
        พระเจ้าสังขบรมจักรพรรดิผู้บังเกิดในยุคนั้นจะสละราชสมบัติพร้อมรัตนะ 7 ประการอันเกรียงไกรอีกทั้งทวีปน้อยใหญ่ออกบวชด้วยใจที่เลื่อมใสในพระบรมศาสดา ยากหนักหนาที่มีผู้มีบุญญาบารมีจะบังเกิดขึ้นมาในยุคสมัยเดียวกัน โอ้ อัศจรรย์ โอ้ อัศจรรย์ โลกในอดุมคติยุคเหนือความฝันจะบังเกิดขึ้นมาอีกไม่นานแค่อีก 1 อสงไขยเศษเท่านั้นเอง
 
 
พระศรีอริยเมตไตรย์
       หลังสิ้นพระพุทธศาสนา หลังจากกึงพุทธกาลไปแล้ว 4,000 ปี (เลยพุทธศาสนาครบ 5,000 ปีไปอีก 1,500 ปี) จะมีไฟล้างโลก ล้างแต่มนุษย์เท่านั้น ไม่ลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่า ความชั่วที่จะเป็นเหตุให้ไฟล้างโลกนั้น เป็นผลของสัตว์ที่สร้างอกุศลกรรมมาก มารวมกันอยู่ เป็นสมัยสัตว์นรกครองโลก มีแต่ความเร่าร้อน หาความสงบสุขไม่ได้ความจริงแล้วมันเริ่มมีความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปีแล้ว จากนั้นไป พวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรมเป็นพวกเห็นแก่ตัว มากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม

        หลังจากไฟล้างโลกแล้ว : โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ 1,000 ปี หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษย์โลก แม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื้น ต้นหญ้า ต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้

        หลังจากที่โลกเขียวชอุ่ม ไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้น : ทิ้งระยะนาน 1 หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิด สัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้น ไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบ อุปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวคนขึ้น จะยังไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ส่องแสง มีแสงเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละคน คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ เรื่องอาหารนั้นนระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปิติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอจากกฏธรรมดา คือ ความเสื่อมของสังขาร เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด ผิวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีคนจนมีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป

        พระศรีอาริย์มาตรัสรู้ : เมื่อโลกมีมนุษย์ และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์แล้ว ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลกเกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี คนสมัยนั้นีอายุครองตนได้ ๘ หมื่นปีเป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้นพระศรีอาริย์จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

 
พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า'ยุคศิวิไลซ์อันน่าอัศจรรย์'
 
 
 
  
1. คนสวยทุกคน มีผิวเหลือง เนื้อละเอียด คนแก่ที่สุด มีทรวดทรงเท่ากับคนอายุประมาณ 20 ปีเศษสมัยนี้เท่านั้นเอง อายุคนสมัยนั้นท่านว่ามีอายุถึง 4 หมื่นปีเป็นอายุขัย

2. สมัยของท่าน ไม่มีคนจน มีแต่คนรวย มีต้นไม้สารพัดนึกอยู่ในที่ทุกสถาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มีจิตใจชั่วร้าย ยังไม่มีโอกาสเกิดในสมัยของพระองค์ ท่านที่จะไปเกิดที่นั้น ต้องเป็นเทวดา หรือพรหมเท่านั้น โลกจึงมีแต่ความสุข ไม่มีตำรวจทหาร มีแต่พ่อบ้านแม่เรือน

3. การสัญจรไปมาสะดวกสบาย ไปไหนก็พายเรือตามน้ำ

4. คนเข้าถึงธรรมทุกคน ท่านว่าคนที่เจริญสมถะพอมีญาณ หรือมีวิปัสสนาญาณบ้างพอสมควรจะเข้าถึงธรรมพิสมัยได้โดยฉับพลัน คือเป็นพระอริยเจ้า คนที่ได้อริยะต้นแล้ว จะเข้าถึงอรหัตผลได้โดยฉับพลัน
 

ไม่ต้องรอ 2012 แค่ 2011 โลกก็จะแย่แล้ว

 
        นอสตราดามุสเมืองไทย พยากรณ์เอาไว้ว่า การโคจรของดวงดาวในปีเถาะ 2554 นี้เป็นสิ่งวิปริตผิดอาเพศมากกว่าปีที่ผ่านมาอย่างใหญ่หลวง ปี 2554นี้จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติสุดมหาหฤโหดไปทั่วโลกทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว“น้ำในแม่น้ำและคลองทั้งปวงจะแดงเป็นโลหิต  เมฆและท้องฟ้าจะแดงเป็นแสงไฟ  แผ่นดินไหวสั่นสะเทือนฤดูหนาวจะเป็นฤดูร้อนที่ลุ่มจะกลับดอนที่ดอนจะกลับลุ่มโรคภัยจะเบียดเบียนสัตว์และมนุษย์ทั้งปวงมนุษย์หนึ่งในสี่ของโลกจะพลันตายลงจะเกิดข้าวยากหมากแพง ฝูงมนุษย์จะอดอยากเสื้อเมืองทรงเมืองจะหลีกเลี่ยง”
 
        แต่ยังไม่ถึง “วันสิ้นโลก” ในวันที่ 12 ธ.ค.2555 แค่ในปี 2554 นี้ก็อ่วมอรทัยไปซะก่อนแล้วการโคจรของดวงดาวและดาวพระเคราะห์ในปีนี้ไม่เป็นไปตามกำหนด จัดเป็นวิกล จะเกิดแผ่นดินไหว กัมปนาทไปทั่วเหมือนแผ่นดินจะแตกแยกออกทุกหัวระแหงทั่วโลกจะถูกทำลายด้วยไฟประลัยกัลป์  ฝนจะตกเป็นเวลายาวนานความแห้งแล้งจะแผ่ขยายไปในวงกว้างมากขึ้น จะเกิดทะเลทรายขนาดใหญ่ไปทั่ว  มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ทั้งหลายจะเหี่ยวแห้งและตายเป็นจำนวนมากจากการลิขิตจากดวงดาวในอนาคตที่โลกจะสิ้นสูญไป โลกเราคงไม่แตกสลายหรือสิ้นไปจากอุกาบาตพุ่งชนโลกหรอก  แต่จะเกิดจากไฟของมนุษย์เรานี่เอง
 

ไฟแห่งกิเลสตัณหา

ไฟแห่งกิเลสตัณหา                                             
 
          ไฟที่ว่านั้นก็คือไฟแห่งกิเลสตัณหา กำลังแผดเผาไหม้ให้ย่อยยับไปทุกๆ วันเวลาเพราะในปัจจุบันมนุษย์ในโลกนี้เต็มไปด้วยการทำความชั่วและเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้าย  การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น กอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตนเองและพวกพ้องขาดความรักความเมตตาที่มีต่อกันและต่อสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง  และมีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นจะถูกธรรมชาติและสวรรค์ลงโทษอย่างมหันต์อีกเช่นกันเพราะจากปี 2554  เป็นต้นไป ดวงดาวจะเดินผิดปกติไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว  ทางโหราศาสตร์ไทยสามารถตีความหมายไปได้อย่างเช่นในปี 2554นี้ เมืองใหญ่ๆที่อยู่ในซีกโลกตอนเหนือเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดคลื่นทะเลยักษ์ จะฆ่าชีวิตคนเป็นล้านคน
   
        ดาวเสาร์ตั้งฉากกับพระราหูและพระราหูตั้งฉากกับมฤตยู จะทำให้ท้องฟ้าจะแปรปรวน ดวงอาทิตย์ ดวงดาวจะไม่ส่องแสงเหมือนเคย ลมฟ้าอากาศวิปริตและโลกจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วอุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก บ่งชี้ว่าสภาวะโลกร้อนกำลังเกิดขึ้นรวดเร็ว ประกอบกับธารน้ำแข็งใหญ่บริเวณขั้วโลกเหนือละลายเร็วขึ้น ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในทุกๆ ที่ และเกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกครั้งใหญ่  เกิดภัยพิบัติต่อประชากรมนุษย์และระบบนิเวศอิทธิพลจากการที่ดาวเสาร์เล็งมฤตยูปีนี้จะทำให้เกิดการพลิกตัวของแกนโลกจากเดิมไปเล็กน้อย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลกกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ของโลก อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงและฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราไม่สามารถระบุฤดูกาลลงไปได้อย่างแน่นอนกันอีก สภาพอากาศและฤดูกาลผิดเพี้ยนไปหมด ประเทศไทยที่เคยร้อนก็กลับมีอากาศหนาวเย็นจนหิมะตกลงมา
  
        อิทธิพลของดวงดาวทั้งสอง ยังส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติ สลับขั้วกันระหว่างพื้นที่ที่เคยฝนตกชุกก็จะเกิดความแห้งแล้ง  ส่วนพื้นที่ที่เคยแห้งแล้งนั้นก็จะกลับมีฝนตกชุก สร้างความเสียหายกับพื้นที่เพาะปลูก นำมาซึ่งอุทกภัยยาวนานตลอดทั้งปี  2554  นี้ หรือไม่ก็เกิดสภาพอากาศแห้งแล้งซึ่งนำความอดอยาก ทำให้ผู้คน เด็ก ผู้หญิง ต้องหิวโหยและล้มตาย
ในปีเถาะสุดโหดจะเกิดปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว แผ่นดินทรุด แผ่นดินแยก แผ่นดินถล่ม และคลื่นยักษ์สึนามิบ่อยครั้ง และถี่มากขึ้นกว่าที่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ทางภูมิศาสตร์ของโลกตั้งแต่  1, 000  ปีที่ผ่านมาก็ว่าได้น้ำแข็งบริเวณทวีปอาร์กติก และแอนตาร์กติกา จะเริ่มละลายอย่างรวดเร็ว คือในปี   2554  นี้ ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นจำนวนมากและเพียงพอที่จะทำให้เมืองใหญ่ๆ ตามชายฝั่งทะเลทั่วโลกจมอยู่ใต้น้ำได้ รวมถึงประเทศไทยจะเริ่มมีน้ำท่วมเกิดจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย และเข้าท่วมมาถึงกรุงเทพฯ  บางส่วนเป็นนครใต้บาดาลชั่วนิจนิรันดร์
 
        และในอนาคตไม่กี่ปีข้างหน้า กรุงเทพฯ และทั่วทุกภาคทุกจังหวัดจะถูกน้ำท่วมไปหมด ที่เกิดจากน้ำทะเลไหลทะลักเข้ามาและเกิดจากอุทกภัยอีกหลายครั้งจนต้องอพยพผู้คนหนีน้ำขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ เกือบสุดเขตแดนไทย  เมื่อนั้นคนไทยก็คงไร้สิ้นแผ่นดินได้?นี่เป็นเพียง คำพยากรณ์เท่านั้น !!!!
  

2012 รึโลกจะแตกเข้าจริงๆ

 

2012 โลกจะแตกจริงๆหรือ

2012 โลกจะแตกจริงๆหรือ
 
 
ต้นเดือนมีนาคม 2554 ที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นได้เกิดแผ่นดินไหว ขนาด   9.0 ริกเตอร์ และตามมาด้วยคลื่นสึนามิขนาดยักษ์ที่มีความสูงถึง 10 เมตร ถาโถมเข้าใส่พื้นที่ตามแนวชายฝั่งทางเหนือของประเทศญี่ปุ่น จนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของญี่ปุ่น ทำให้กระแสข่าวลือในโลกอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับวันโลกาวินาศ หรือวันโลกแตก ที่จะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.2012 หรือ พ.ศ.2555 ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง

 

ทฤษฎีดาวนิบิรุชนโลก  

           เนื่องด้วยเรื่องราวของดาวนิบิรุ  ดาวปริศนาดวงที่ 12 ของระบบสุริยะจักรวาลที่ถูกค้นพบเมื่อปี  2002 โดยนักเขียนนามว่า เซคาราย ซิตชิน (Zecharia Sitchin) เชื่อว่า ดาวนิบิรุจะพุ่งเข้าชนโลก เนื่องจากว่า ดาวนิบิรุมีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่ ซึ่งความจริงแล้วเส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ เข้ามาทับเส้นวงโคจรเดียวกับโลกพอดี ทำให้ดาวนิบิรุมีสิทธิ์เข้าชนโลกได้ หรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตรายได้ เพราะว่าแกนของดาวนิบิรุ ก็มีสนามแม่เหล็กอยู่ ซึ่งเมื่อเข้ามาใกล้โลกสนามแม่เหล็กจะทำปฎิกิริยากับสนามแม่เหล็กโลก จนทำให้เกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ขึ้นในโลก อาทิ เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกิดภาวะน้ำขึ้นกะทันหัน ซุปเปอร์สึนามิ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เกิดพายุต่าง ๆ และอื่น ๆ นับไม่ถ้วน ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2012 ดาวนิบิรุ จะเข้าใกล้โลกของเรามากที่สุด

 
ทฤษฎีแม่เหล็กโลกกลับขั้ว
 
          สนามแม่เหล็กของเราจะมีอยู่ 2 ขั้ว โดยขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และอีกขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ โดยขั้วแม่เหล็กทั้ง 2 ขั้ว จะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา และเป็นอิสระจากกัน ทั้งทำหน้าที่ปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งการเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็ก ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 250,000 ปีต่อครั้ง และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2008  นาซ่า (nasa)  ได้ออกมาระบุเพิ่มเติมว่า อีกประมาณ 4 ปีข้างหน้า ซึ่งก็คือ ปี 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่มากคือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก อันนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย อาทิ ทำให้ประเทศเขตร้อนมีหิมะตก หรือมีอากาศหนาวเหน็บจนยากที่จะปรับตัวได้ทัน เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง แผ่นดินไหว แต่ไม่อาจคร่าชีวิตประชากรโลกจนสูญพันธุ์ได้ หรืออย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นนั้น เชื่อว่า เกิดจากแม่เหล็กโลกกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเปลือกโลกเคลื่อนตัว จนเกิดแผ่นดินไหว ก่อนที่จะเกิดคลื่นสึนามิตามมา
 

2012  โลกแตก เข้าจริงๆ 

2012 โลกจะแตกจริงๆหรือ 

 
           อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่า นอกจากการที่โลกและดวงอาทิตย์ทำการแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง ซึ่งก็คือทุก ๆ 11 ปีนั่นเอง  และเมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดปรากฎการณ์การกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน จนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์ต้องสาบสูญไปในช่วงเวลานั้น ก็ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง คือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติไปมากมาย จนเป็นเหตุให้โลกเสียสมดุล อย่างกรณีโลกร้อน ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือการเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกที่รุนแรงขึ้น ฯลฯ กระทั่งทำให้แกนโลกเกิดการเบี่ยงเบนไป จนนำไปสู่การกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง
 
ทฤษฎีชนเผ่ามายัน
 
          ชนเผ่ามายัน ได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่มีความสามารถในการคิดค้นปฏิทินและการคำนวณบางประการได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ทันสมัยแบบเรา โดยปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี และวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายา คือ วันที่ 21 ธันวาคม  2012 ซึ่งในวันนี้เองที่เป็นมาของความเชื่อที่ว่า เป็นวันสิ้นโลก โดยเชื่อกันว่า ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเกิดปรากฎการณ์ที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เพราะช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ทำให้พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถม และเกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลก  อาจทำให้เกิดซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปี ที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัย ก็คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี  2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 ได้เกิดคลื่นสึนามิซัดถล่มประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า การระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจกำลังใกล้เข้ามาแล้วก็ได้
 
ทฤษฎีน้ำท่วมโลก 
 
           ด้วยสภาวะโลกร้อน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งปริมาณฝน ระดับน้ำทะเล และมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง โดยผลกระทบที่เราสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ที่ทำให้ปริมาณน้ำในทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้เอง ที่ทำให้เกิดทฤษฎีน้ำท่วมโลกขึ้น โดยเชื่อกันว่า หากเราไม่สามารถแก้ไข สภาวะโลกร้อนได้  ในปี 2012  โลกจะเกิดหายนะจากอุทกภัยน้ำท่วมโลก จากการละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับผลสำรวจของนักวิทยาศาสตร์ที่กรีนแลนด์เมื่อปี 2003 ที่ระบุว่า ขณะนี้อุณหภูมิที่ขั้วโลกเหนือและใต้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การละลายตัวของน้ำแข็งในแต่ละวันมีปริมาณสูงถึงวันละ 1 ล้านตัน และหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เกิน 5-7 ปี น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือและใต้จะละลายหมด ซึ่งก็คือ ปี 2012 นั่นเอง
 
            ทฤษฎีต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น สามารถเกิดขึ้นได้ หรืออาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ไม่ว่า อย่างไรก็ตาม ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลกของเรานั้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ดังนั้น การเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เอื้อต่อธรรมชาติมากขึ้น อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดีกว่าการมานั่งวิตกกังวลว่าโลกจะแตกเมื่อไหร่

Content's Picture

Comment(s)


Vote this Content ?

Create by :


Kruthanet

Status : ผู้ใช้ทั่วไป
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม