ชายตาบอดกับสุนัขนำทาง
. เรื่องเล่าน่าอ่าน น่าประทับใจ 'ชายตาบอดกับสุนัขนำทาง' วันหนึ่ง ชายตาบอดกำลังเดินข้ามถนนโดยมีสุนัขนำทาง ทันใดนั้นรถบรรทุกคันหนึ่งเสียหลักพุ่งเข้าชนเต็มแรง เขาตายคาที่ สุนัขนำทางก็ตายอย่างอนาถพร้อมเจ้าของ ชายเจ้าของพร้อมกับสุนัขของเขามาถึงหน้าประตูสวรรค์ เทวทูตนางหนึ่งสกัดกั้นพวกเขาไว้ พูดอย่างลำบากใจว่า.. ' ขอโทษค่ะ ขณะนี้บนสวรรค์สามารถรับได้อีกเพียงหนึ่งรายเท่านั้น พวกเจ้าหนึ่งในสองต้องเป็นผู้ที่ไปนรก ' เจ้าของได้ฟังเช่นนั้นก็รีบถามขึ้นว่า.. ' สุนัขของฉันมันไม่รู้หรอกว่าอะไรคือสวรรค์ อะไรคือนรก ให้ฉันเป็นคนตัดสินใจได้ไหมว่าใครจะได้ไปสวรรค์ ' เทวทูตมองเขาด้วยสายตาเหยียด ๆ ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า.. ' ขออภัยจริง ๆ ทุก ๆ วิญญาณล้วนเสมอภาคเท่าเทียมกัน พวกเจ้าจะต้องใช้วิธีแข่งขันเพื่อตัดสินว่าใครจะได้ขึ้นสวรรค์ ' เจ้าของสุนัขรู้สึกผิดหวัง ถามว่า.. 'เหรอ แล้วจะแข่งอะไร ' เทวทูตตอบ.. ' การแข่งขันนี้ง่ายมาก คือการวิ่งแข่ง จากที่ตรงนี้วิ่งไปถึงประตูใหญ่ของสวรรค์ ใครถึงก่อน ผู้นั้นก็ได้อยู่บนสวรรค์ แต่ทว่าเจ้าไม่ต้องหนักใจอะไร เพราะเจ้าได้ตายแล้ว ไม่ใช่คนตาบอดอีกแล้ว และอีกอย่างความเร็วของวิญญาณไม่เกี่ยวกับกายเนื้อ ผู้ที่มีจิตบริสุทธิและเมตตาอารีย์ก็ยิ่งจะมีความเร็วสูง ' เจ้าของสุนัขครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ตกลงเห็นด้วย เทวทูตให้เจ้าของและสุนัขเตรียมตัวให้พร้อม และประกาศเริ่มต้นการแข่งขัน นางมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า ชายเจ้าของสุนัขจะต้องวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ใครจะคาดคิดได้ว่าเจ้าของสุนัขไม่รีบไม่ร้อน ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า และสิ่งที่ทำให้เทวทูตตกใจมากก็คือ เจ้าสุนัขของเขาก็ไม่ได้วิ่งแต่อย่างใด มันก้าวเดินตามจังหวะของเจ้าของอย่างเชื่องช้า ไม่ยอมละห่างเจ้าของแม้แต่ครึ่งก้าว เทวทูตเข้าใจได้ในทันทีว่า ที่แท้หลายปีมานี้เจ้าสุนัขคงจะเคยชินกับการที่ต้องติดตามการเคลื่อนไหวของเจ้าของ เดินนำเจ้าของ คอยปกป้องคุ้มครอง ชายเจ้าของสุนัขช่างน่ารังเกียจสิ้นดี เขาจะต้องใช้ประโยชน์จากจุดนี้แน่ ๆ ถึงได้มีความมั่นใจในชัยชนะ แค่เพียงเรียกเจ้าสุนัขหยุดลงเมื่อถึงหน้าประตูสวรรค์ก็ได้แล้ว เทวทูตมองดูเจ้าสุนัขที่แสนซื่อสัตย์แล้วรู้สึกเศร้าใจ นางตะโกนไปที่สุนัขด้วยเสียงอันดังว่า.. ' แกได้เสียสละทั้งชีวิตให้นายของแกไปแล้ว นายของแกไม่ใช่ชายตาบอดอีกต่อไป แกไม่ต้องไปนำทางให้เขาอีกต่อไป รีบวิ่งเข้าประตูสวรรค์เร็ว ๆ ' แต่ทว่า ไม่ว่าเจ้าของหรือสุนัข ดูเหมือนไม่ได้ยินเสียงของนางเลย ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ยังกับกำลังเดินเล่นอยู่อย่างนั้นแหละ เป็นจริงดังว่า เมื่อมาถึงห่างจากจุดที่กำหนดไม่กี่ก้าว ชายเจ้าของก็ออกคำสั่ง เจ้าสุนัขนั่งลงอย่างว่าง่าย เทวทูตจ้องมองชายเจ้าของสุนัขด้วยสายตาดูแคลน เวลานี้ ชายเจ้าของสุนัขหัวเราะขึ้นและหันมาพูดกับเทวทูตว่า.. ' ในที่สุดฉันก็ได้ส่งสุนัขของฉันมาถึงหน้าประตูสวรรค์แล้ว แต่สิ่งที่ฉันเป็นห่วงที่สุดก็คือ มันไม่เคยอยากอยู่บนสวรรค์ มันอยากอยู่ด้วยกับฉันมากกว่า เพราะฉะนั้นฉันจึงต้องตัดสินใจแทนมัน ได้โปรดช่วยดูแลมันด้วย ' เทวทูตตกตะลึง.. ชายเจ้าของสุนัขมองดูมันด้วยความอาลัยอาวรณ์ แล้วพูดขึ้นว่า.. ' ใช้วิธีแข่งขันนี้ดีทีเดียว ฉันเพียงแต่ให้มันเดินขึ้นหน้าอีกสักกี่ก้าว มันก็จะได้ไปสวรรค์แล้ว แต่ว่า มันอยู่เป็นเพื่อนฉันมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นมันกับตาตัวเอง ฉะนั้นฉันจึงอยากจะเดินช้า ๆ เพื่อจะได้มองดูมันนานสักหน่อย ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะได้เฝ้ามองมันตลอดไป ถึงแล้วสวรรค์ ที่นี่จึงเป็นที่ที่มันควรจะอยู่ โปรดช่วยดูแลมันด้วย ' จบคำพูด ชายเจ้าของสุนัขออกคำสั่งให้เจ้าสุนัขวิ่งขึ้นหน้า และนาทีที่เจ้าสุนัขวิ่งมาถึงจุดหมายปลายทาง ชายเจ้าของสุนัขก็รู้สึกตัวเบาเหมือนสำลีแล้วก็ล่องลอยไปสู่ทิศทางที่ไปนรก สุนัขของเขาเห็นเข้าก็กลับหัวพุ่งตามไปหาเจ้าของทันที ขณะที่เทวทูตที่รู้สึกเสียใจ และสำนึกผิดก็รีบกางปีกของนางบินตามติดไปทันที หวังจะคว้าเจ้าสุนัขเอาไว้ ทว่า นั่นคือวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลก ความรวดเร็วของมันจึงยังเหนือกว่าเทวทูตใด ๆ บนสวรรค์ บัดนี้เจ้าสุนัขนำทางก็มาอยู่กับเจ้าของของมันอีกแล้ว ถึงจะเป็นนรกแต่มันก็ยังคงเฝ้าระวังเจ้าของของมันตลอดไป เทวทูตยืน ณ ตรงนั้นอยู่นาน แล้วรำพึงกับตัวเองว่า ' ข้าผิดตั้งแต่ต้นแล้ว วิญญาณทั้งสองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกเขาไม่อาจแยกจากกัน ' * สัจธรรมความจริงมีอยู่หนึ่งเดียว แต่ในสายตาผู้คนที่ต่างกัน ก็จะมีมุมมองถูกผิดชั่วดีที่ต่างกัน เพราะอะไรเล่า ความจริงเหตุผลง่ายมาก เราทุกคนไม่ควรมองสรรพสิ่งอย่างตายตัว หรือใส่แว่นสีมามองปัญหา และใช้ประสบการณ์หรือมาตรฐานชั่วดีของตนเองมาเป็นบรรทัดฐานวัดผู้อื่น สุดท้ายเราก็จะได้แต่ภาพลวงตา* |